วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เที่ยวชมโรงเรียน

วันศุกร์ แสนสุขใจ
ชวนกันไปเดินเที่ยวกัน
เฮฮา แสนสุขสันต์
ชี้ชวนกันชมโรงเรียน

ดูสิ..พี่ต้นไม้
ต้นใหญ่ๆ นกแวะเวียน
นั่นไง! เจ้าต้นเทียน
รอบโรงเรียน มีหลากหลาย

เอ๊ะ! นั่น ตัวอะไร
วิ่งว่องไว ไม่มีลาย
รีบรุด มุดตัวหาย
พี่กระต่าย ขี้ตกใจ

ตัวน้อย คลานต้วมเตี้ยม
สงบเสงี่ยม ต้วมเตี้ยมไป
ดูเหมือน ไม่สนใจใคร
หอยทากไง มีมากมาย

มองไปเจอกระรอก
เพื่อนรีบบอก เจ้าก็หาย
สงสัยเจ้าคงขี้อาย
จึงรีบหายไปทันที

นกน้อย เจ้าโผบิน
ออกหากิน หรือไรนี่
ส่งเสียงจิ๊บๆ ดูเข้าที
ฟังๆ ซี แว่วดังไกล

ดูนั่น ตัวยาวลาย
ขามากมาย คล้ายรถไฟ
กิ้งกือ คลานคืบไป
เมื่อตกใจ ม้วนตัวงอ

อุ๊ย! จอมปลวก ตรงพุ่มไม้
คืออะไร อยากรู้หนอ
เราจึงไม่รีรอ
ดูแล้วอ้อ...เห็ดโคนไง

สีขาวขาอวบอ้วน
ต่างชี้ชวน ด้วยดีใจ
เห็ดโคน ดอกใหญ่ใหญ่
เกิดได้ไงครับคุณครู

วันนี้ มีความสุข
ได้สนุก ได้เรียนรู้
ได้เที่ยว ได้ฟัง ได้ดู
พวกหนูๆ แสนสุขใจ

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ความสุขของหนู

สุข...ง่ายๆ
สุข...ได้ทุกที่
สุข...แสนสุขขี 
สุข...เปรมปรีดิ์  มีทุกยาม


 


สุข...ของหนู
สุข...เรียนรู้ ลงมือทำ
สุข...เพลินเพลิน ร้อง เล่น เต้นรำ
สุข...ประจำ เอิบอิ่มใจ



 

สุข...แย้มยิ้ม
สุข...งามพริ้ม อิ่มความฝัน
สุข...ด้วยมีเธอ มีฉัน
สุข...อนันต์ ทุกวันเอย
 

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ท้องฟ้ายิ้มหวาน...

ยามที่ท้องฟ้าเปิดกว้าง หมู่นกกาโบยบินเริงร่า
ยามมืดค่ำ ฉันพบเห็น แสงจันทรา

 สุข หรือ ทุกข์ ที่ฉันได้พบเจอ ก็ล้วนก่อเกิดมาจากความคิด
ความคิดที่ไม่ใช่ความจริง ซึ่งมันเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตหรือที่ยังไม่เกิดในอนาคต

เอาอดีตมาคิดก็แก้ไขอะไรไม่ได้ เอาอนาคตมาคิดก็เป็นเพียงจินตนาการ


ท้องฟ้ายิ้มหวานให้ฉันสุขใจ แค่การมองให้เห็นความสุขจากสิ่งที่เรากำลังมอง
นก 3 ตัว กำลังโบยบินอย่างเบิกบานในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่
ด้วยความประจวบเหมาะของเหตุการณ์ ห่วงเวลา ทำให้เห็นเป็น "ท้องฟ้ายิ้มหวาน"...

เพื่อนหนู...หายไปไหน

คุณครูครับ "เพื่อนเราเขาไม่มา"
คุณครูขา "เพื่อนเราหายไปไหน"
เสียงบอกเล่า ไต่ถาม ด้วยห่วงใย
ที่ว่างไป ไม่เห็น เช่นทุกวัน

ที่กินข้าว เคยนั่ง อย่างเต็มพร้อม
ที่หุ้มล้อม ว่างเปล่า ใจพลอยหวั่น
คุณครูจ๋า "เพื่อนเราหาย ไปไหนกัน"
ทำไมวัน นี้ว่าง ช่างเหงาใจ


จากเต็มห้อง สามสิบสอง ไม่มาครบ
ที่ว่างลบ ออกไป ใคร่สงสัย
จึงไต่ถาม ด้วยรัก และห่วงใย
เพื่อนหนูหายไปไหน ไม่มาเรียน

ครูจึงบอก แจ้งข่าว เล่าให้รู้
เพื่อนของหนู ไม่มา เพราะอากาศเปลี่ยน
หอบเอาฝน เอาไข้ มาแวะเวียน
เพื่อนจึงต้อง หยุดเรียน ป่วยไข้กัน

ครูขอฝาก ข่าวไป ให้เล่าต่อ
หากเจ็บคอ ตัวร้อน และหนาวสั่น
ไม่สบาย รีบบอก อย่างเร็วพลัน
จะป้องกัน ได้ทัน และปลอดภัย

ทั้งไข้หวัด ไข้เลือดออก น่ากลัวนัก
อยากให้หนู รู้จัก ป้องกันไว้
ออกกำลัง กายสะอาด จะห่างไกล
เมื่อเป็นไข้ รีบพบหมอ อย่ารอรี

ใส่ใจ สุขภาพ กันสักหน่อย
เจ้าตัวน้อย ของครู คงสุขขี
อยากจะให้ ทุกคน สุขภาพดี
มีชีวี ที่ห่างไกล จากไข้เอย


*********วันนี้ห้องเรียนดูเงียบเหงาลงไป เพราะเด็กๆ หลายคนไม่มาโรงเรียน 
และคนที่มาบางคนก็มีอาการหงอยๆ ของคนที่กำลังจะเป็นไข้***********

ขอส่งความปรารถนาดีไปยังคนที่เป็นไข้ ไม่สบาย ให้หายป่วยไข้ในเร็ววัน 
 และ
คนที่ไม่เป็นไข้ ก็ขอให้ดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอย่างนี้ตลอดไป

---กลับมาเติมเต็มห้องเรียนของเราเร็วๆ นะคะ ลูกศิษย์ที่น่ารัก---

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สน...ลู่ลม

พริ้วลม พัดโบก
สนโยก ระบัดไหว
โอนเอน ตามแรง กวัดไกว
เอนไป ด้วยลู่ แรงลม

ลมหยุด สนนิ่ง
ไม่ไหวติง ยืนนิ่ง น่าชม
สง่างาม สุขุม แสนภิรมย์
ชื่นชม สนผ่อนแรง แกร่งสู้ทน

เสียงแห่งความสดใส

ฟังซิ เจ้าจงฟัง
เสียงแว่วดัง ฟังสดใส

เด็กน้อย หัวเราะร่า อย่างสุขใจ
ยิ้มละไม บนใบหน้า น่ารักจัง

เสียงหัวเราะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ดังแว่วมา ช่างน่าฟัง
เสียงหัวเราะ จากหัวใจ ช่างมีพลัง

เหมือนมนต์ขลัง ฟังแล้วยิ้ม อิ่มดวงใจ

เด็กเอ๋ย เจ้าเด็กน้อย

ตัวกระจ้อยร่อย น่ารัก สดใส
หัวเราะง่าย ยิ้มแสนง่าย ได้ทันใด
ใบไม้ไหว เจ้าหัวเราะ หยอกล้อกัน


ผีเสื้อน้อย กำลังขยับปีก
เจ้าก็ฉีก ยิ้มงาม หัวเราะขัน
ยิ้มสดใส หัวเราะร่า ฮ่าฮ่าพลัน
ทุกทุกวัน ช่างสุขใจ ยามได้ยิน

เด็กๆ ต่างก็บอกว่า

"พวกหนูอยากเห็นผู้ใหญ่อารมณ์ดี ยิ้มแย้ม หัวเราะ และมีความสุขร่วมกับพวกหนูค่ะ / ครับ"

อรุณเบิกฟ้า


เอ๊กอีเอ้ก เสียงไก่ขัน ปลุกให้ตื่น
จากค่ำคืน ที่นิทรา พาหลับใหล
ลุกจากเตียง บิดขี้เกียจ อย่างเร็วไว
แล้วจะได้ รับวันใหม่ ใจเปรมปรีดิ์

สูดอากาศ ยามเช้า เข้าเต็มปอด
สู่อ้อมกอด ของวันใหม่ ในเช้านี้
เติมพลัง เติมความหวัง ของชีวี
เช้าวันนี้ สุขสดใส ใจชื่นบาน

"มีความสุขกับทุกเช้าของทุกวัน"

...อรุณเบิกฟ้า

นกกาโบยบิน ออกหากิน ยิ้มร่าเริงสดใส

เราเบิกบานรีบมาทันใด

ยิ้มรับวันใหม่ ยิ้มให้แก่กัน...

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

พระจันทร์เหงา


"พระจันทร์วันนี้ดูเหงาจัง"

มองฟ้า ค่ำหนึ่ง ในวันจันทร์
คืนวัน ที่พระจันทร์ ดูเหงา เหงา
มองฟ้า สีหม่น หม่น แลเทา เทา
คล้ายจะเศร้า ตามเจ้า ดวงจันทร์

คืนนี้ พระจันทร์ ดูเดียวดาย
มองหาดาวที่เคียงกายหน่ายหนี
ม่านหมอกแต้มฟ้า...ดาวไม่มี
อับราศีแสงจันทร์พลันเศร้าใจ

จันทร์มัว จันทร์หม่น ชวนหมองนัก
หรือเพราะใจเราชักให้หมองมัว
มองจันทร์ มองฟ้า แล้วมองตัว
จันทร์มัว จันทร์เศร้า เรา..หรือ..จันทร์

รอยร้าว

แก้วที่ร้าว ไม่นานก็คงแตก
ทิ้งรอยแยก ข้างใน ให้ขื่นขม
ใช้กาวติด ปะเชื่อม ให้น่าชม
สิ้นภิรมย์ สวยงาม ยามมองดู
จิตใจคน นี้ไซร้ ไม่ต่างแก้ว
หากมีแล้ว รอยแยก แตกสลาย
จะเยียวยา อย่างไร คงมิคลาย
ลบเลือนหาย จากใจ ใคร่ตรึกตรอง

มีคำบอก ตัวเรา ทำร้ายเรา
ไม่ใช่เขา เข้ามา ทำให้หมอง
หากจิตร้าว กายต้อง ไม่หลงมอง
ประคับประคอง แข้มแข็ง แรงพลัง

มนุษย์เรา จึงควร ใช้ชีวิต
อย่าได้คิด ยึดติด กับจิตไหว
ถึงใจร้าว ประคองตน อยู่ร่ำไป
ไม่นานได้ ใจกาย หลอมรวมกัน

จงยึดมั่น เป้าหมาย ที่มองอยู่
จงใคร่รู้ ปัจจุบัน ที่มั่นหมาย
จงหยัดยืน ทำดี มิคลอนคลาย
สู้จนตาย จะได้ อย่างที่ทำ

ฟ้าหลังฝน ย่อมงด งามเสมอ

หากได้เจอ ฝนพรำ อย่าหวั่นไหว
สิ้นฝนแล้ว แสงแดด ส่องทันใด
เบิกบานใจ ชื่นชม สายลมเยือน

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บทเพลงฝนพรำ

โน่นแน่ะ! ฟังเสียงฝน
โปรยหล่นบนหลังคา
เพลินฟัง พริ้มหลับตา
เสมือนว่า ดนตรีบรรเลง
ขับกล่อมเพลงธรรมชาติ
แทรกผ่านอากาศ ลำนำเพลง
เปาะแปะ เปาะแปะ ร่วมบรรเลง
บทเพลงแห่งสายฝนพรำ

ความสุข??...

ทุกคนต่างมองเห็นความสุขแตกต่างกัน..
เราอาจจะเคยคิดว่าลูกคนรวยพันล้าน หมื่นล้าน ที่เขามีของเล่นมากมาย มีขนมกินอร่อยๆมากมาย มีคอมพิวเตอร์ไว้ให้เล่นเกมส์เมื่อเขาต้องการ ฯลฯ แต่เด็กบางคนที่มีทุกสิ่งเช่นนั้น เขาอาจจะขาดโอกาสดีๆที่ไม่ได้ค้นพบสิ่งที่เงินทองซื้อไม่ได้ บางคนอาจะเรียกสิ่งนั้นว่า มิตรภาพ ความรัก ความอบอุ่น ปรารถนาดี ฯลฯ..


เด็กคนหนึ่งเกิดในครอบครัวที่ยากจนมาก เกิดมาในครอบครัวที่ไม่ค่อยจะมีเงินทอง..
ไม่มีของเล่นมากมาย ไม่เคยได้ลิ้มรสขนมอร่อยๆที่ซื้อด้วยเงินตรา
ผมเคยคุยกับเด็กคนนี้ที่เขาเกิดมาในครอบครัวเช่นนี้ว่าเขารู้สึกอย่างไร??
"ผมไม่คิดที่จะน้อยใจเลยครับ! ที่พ่อแม่ผมไม่ได้มีเงินทองมากมาย ไม่เคยซื้อขนมอร่อยๆ ให้ผมทาน ไม่เคยซื้อของเล่นราคาแพงๆ จากร้านค้าให้ผม ฯลฯ ทุกๆวันผมได้รับประทานอาหารจากหยาดเหงือที่ครอบครัวเราช่วยกันหามากินกันเองโดยไม่ต้องเสียเงินค่าอาหารเลย เช่น ปลา ผัก ผลไม้ สมุนไพร ฯลฯ พ่อกับแม่บอกผมว่ายิ่งทานเยอะลูกยิ่งจะได้แข็งแรงไม่เสียสุขภาพ บางครั้งพ่อทำสิ่งประดิษฐ์จากธรรมชาติให้ผมเล่นโดยที่เราไม่ต้องไปเสียเงินซื้อของเล่นราคาแพงๆ จากร้านค้าเลย บางครั้งพ่อก็จะนำของที่อร่อยๆ จากธรรมชาติมาให้ผมกินแทนขนมหวานโดยไม่ต้องเสียเงินค่าขนมหวานเลยสักบาทครับ ผมคิดว่าผมเกิดมาโชคดีมากเลยครับที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อกับแม่.." เด็กน้อยคนนั้นพูดกับผมอย่างภาคภูมิใจ...

..ฝน...

สายฝนจากฟ้า...นำมาความสุขใจ
ก่อเกิดชีวิตใหม่ด้วยไอความฉ่ำเย็น
เห็ดดินนานาพันธุ์...ต่างแข่งกันมาให้เห็น
เมล็ดพันธุ์พลันเปลี่ยนเป็น...ต้นกล้าใหม่ผลิใบงาม
เหล่าสัตว์ตัวน้อยน้อย...ค่อยค่อยคืบคลานตาม
สรวลเสเฮฮาทุกยาม...ด้วยชุ่มฉ่ำกับสายฝน
เด็กน้อยก็สุขใจ...ได้วิ่งไล่เล่นน้ำฝน
ผู้ใหญ่ก็สุขล้น....ขอบคุณฝนที่ผ่านมา
ผืนดินสีน้ำตาล...ผ่านวันวารเขียวทั่วหล้า
สรรพสิ่งยินดีปรีดา...ขอบคุณฟ้า..ขอบคุณฝน

ต้นสน


ต้
นสนตัวสูง
ลงรักท้องฟ้า
ยื
ดตน ด้วยหวังว่า
จะสมปรารถนา...กับฟ้าไกล

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หยดน้ำแห่งความฉ่ำเย็น

พราวพราวหยดหยาด
เกลื่อนกลาดลู่ไหล

หยดน้ำใสใส...
ทิ้งไหลสู่พสุธา


ร่องรอยความเย็นฉ่ำ

องคืนค่ำที่ผ่านมา
หยดน้ำพรมผืนหญ้า...
หยดน้ำตาพรมหัวใจ

แตงโมลืมกินน้ำแดง


ในเวลาอาหารกลางวันของน้องอนุบาล 1 วันหนึ่ง ซึ่งมีอาหารที่น่ารับประทาน ประกอบด้วย ข้าวสวย ต้มยำไก่ ผัดบวบใส่ไข่ และผลไม้คือแตงโม
หลังจากที่นักเรียนล้างมือแล้วเดินมานั่งที่โต๊ะอาหาร ตามหมายเลขโต๊ะของตนเองซึ่งมีทั้งหมด 3 โต๊ะ เพื่อเตรียมกล่าวคำขอบคุณอาหาร พลันก็มีเสียงดังมาจากโต๊ะที่หนึ่ง

“คุณครูขา ทำไมแตงโมสีขาวอย่างนี้ล่ะคะ”

คุณครูจึงหันไปมองที่ถาดอาหารของเจ้าของเสียง แหม! ช่างสังเกตจริงๆ นะ จะเป็นใครไม่ได้เลยนอกจากน้องอั้ม ผู้ซึ่งมีความมั่นใจเกินร้อย ช่างสังเกตชั้นเยี่ยม

ยังไม่ทันที่คุณครูจะเอ่ยคำใดๆ คุณป้าแม่บ้านซึ่งเป็นผู้ที่จัดถาดอาหารให้ก็รีบบอกด้วยความเอ็นดูว่า “ถึงแตงโมจะขาวแต่ก็หวานนะคะน้องอั้ม”
น้องอั้มของเราพยักหน้าคล้ายๆ จะเห็นด้วย

เพื่อนๆ ที่นั่งข้างๆ ช่วยแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า “แตงโมไม่สุกน่ะอั้ม”

น้องอั้มนั่งนิ่งสักครู่ แล้วยิ้มนิดๆ พร้อมกับบอกว่า “อ๋อ หนูรู้แล้วค่ะ แตงโมลืมกินน้ำแดงเข้าไปค่ะ ก็เลยสีขาว” พูดจบเธอก็ส่งเสียงหัวเราะ “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” อย่างภาคภูมิใจในคำตอบที่เธอค้นพบ

และแล้วแตงโมที่ลืมกินน้ำแดงของน้องอั้มก็ได้ย้ายตนเองจากถาดอาหารลงไปนอนอยู่ในท้องของเธอ เหลือไว้เพียงร่องรอยของความเอร็ดอร่อยที่ฝากไว้บนแก้ม และข้างๆ ริมฝีปาก

“อร่อยๆ จังเลยค่ะ”

ผ่านเวลาอาหารกลางวันที่แสนอิ่มอร่อยไป คุณครูกับคุณป้าต่างก็หัวเราะกับคำตอบที่น่ารัก "แตงโมลืมกินน้ำแดง" ของน้องอั้ม แหม! ช่างคิดจินตนาการได้น่ารักน่าชังเหลือเกิน...


...จินตนาการของเหล่าเมล็ดพันธุ์ของวันพรุ่ง...สดใส งดงามยิ่งนัก....เราควรส่งเสริมจินตนาการของพวกเขาให้เบ่งบานงดงามร่วมกันนะคะ

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ขอบคุณ...


ขอบคุณ...โลกใบนี้ ที่ให้เรามีแผ่นดิน ผืนหญ้า ใช้อาศัย

ขอบคุณ...อากาศ ที่ให้เรามีลมหายใจ

ขอบคุณ...พืช สัตว์ ที่ทำให้เราได้กินเป็นอาหารเพื่อการมีชีวิตอยู่

ขอบคุณ...น้ำ แสงแดด ที่ทำให้เรารู้สึกหนาวเย็นและอบอุ่น

ขอบคุณ...พ่อแม่ พี่น้อง คุณครู ที่ให้ความรัก

ขอบคุณ...เพื่อนๆ ที่ทำให้เรามีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

ขอบคุณ...โอกาส ที่ทำให้เราได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ

ขอบคุณ...ความผิดหวัง ที่ทำให้เราได้พยายามจนประสบผลสำเร็จ

ขอบคุณ...ทุกๆ สรรพสิ่ง ที่ทำให้เราได้มีชีวิตและมีคุณค่า


วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กอด


...บรรจงกอดถอดรักไปสู่ศิษย์

แนบสนิทชิดใกล้ใจไฝ่หา

ครูโอบศิษย์ศิษย์กอดครูอิ่มอุรา

ต่างยินดีปรีดาถ้วนหน้าเอย
...

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

รสมือแม่


...แกงเห็ดระโงกในถ้วยใหญ่
แม่ตั้งใจทำให้ลูกได้กิน
อาหารป่า...รสดีอร่อยลิ้น
รสคุ้นชิน...ด้วยฝีมือแม่
...คราใดลูกได้กลับบ้าน
เหล่าอาหารอร่อยจริงแท้
ฝีมือใคร...ก็ไม่เหมือนแม่
อร่อยแน่...เพราะรสมือแม่เรา
...อาหารจานป่าของบ้านนา
รสดีจริงหนา...อาหารบ้านเฮา
สดๆใหม่ๆ ยกลงจากเตา
ตั้งวงล้อมเข้า..ครอบครัวเราสุขใจ
.................................

**มีความสุขยิ่งนักที่ได้ร่วมวงทานข้าวร่วมกันกับคนที่เรารักและรักเรา**

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กลับบ้าน....


กลับบ้าน
กลับพักผ่อน
กลับไปยังที่เคยซุกหัวนอน
กลับไปหาหมอนใบเก่าๆ
....
กลับบ้าน
กลับสู่อ้อมกอด
กลับไปหอมซักฟอดคนที่ห่วงใย
....
กลับบ้าน
กลับไปเติมพลังของหัวใจ
กลับไปเพื่อให้และเพื่อต่อเติม
....
กลับบ้าน
กลับด้วยความอบอุ่น
กลับไปหาตักนิ่มละมุน
กลับไปซบไออุ่นของทุกคนในครอบครัว
....

***
ปรารถนาให้ทุกคนมีความสุขกับการกลับบ้าน***

หนูรักแม่

วันนี้อากาศในตอนเช้าดูสดใส พอย่างเข้าตอนสายแดดพระอาทิตย์ก็ส่องสว่างแต่พองามไม่ร้อนเกินไปทุกอย่างดูสดชื่นและทุกคนต่างอารมณ์ดี เพราะเป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์
พี่น้องๆทั้งชั้นอนุบาลและประถมคงได้ทำการ์ดอวยพรให้กับคุณแม่เนื่องในวันแม่กันทุกคน
เด็กๆชั้นอนุบาล 1 ก็ได้ทำการ์ดให้กับคุณแม่ ได้ฟังเพลง ร้องเพลง เกี่ยวกับแม่
บางคนฟังเพลงไปหัวเราะไป แต่มีบางคนฟังเพลงไปน้ำตาเล็ดไป...มันเป็นความรู้สึกที่อ่อนไหวจริงๆ
เชื่อไหมคะแม่ของเด็กๆบางคนก็ป่วยอยู่โรงพยาบาล บางคนแม่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยตั้งแต่เด็ก
เมื่อเราเป็นครูของเค้า เราจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเหล่านั้น ทำได้เพียงกอดประโลมให้เด็กๆรู้สึกว่ายังมีคุณครูเป็นแม่อีกหนึ่งคน
และสอนให้เค้ารู้ว่าคนรอบข้างที่คอยดูแลเค้าก็มีความรักให้เค้าเหมือนแม่คนหนึ่งเช่นกัน

"ความรักของแม่มีอยู่ในทุกที่ค่ะ"

วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

พระคุณแม่...


ยามที่แม่สั่งสอนพร่ำวอนลูก เรื่องผิดถูกลูกก็ว่าแม่จู้จี้
ต่อเมื่อลูกเติบใหญ่จึงได้ดี เพราะคำที่แม่พูดไว้ไม่ผิดคำ..
เมื่อยังเด็กลูกไม่เห็นคุณค่าแม่ เป็นบาปแท้ที่ลูกเถียงแม่เช้าค่ำ
ลูกกระทำความผิดนี้ประจำ ขอกล่าวคำขอโทษโปรดอภัย...

ธ. ธง น้อยใจไม่อยากลงจากเสา

เข้าแถวในวันนี้ไม่มีธง
แต่พวกเราก็ยืนตรงร้องเพลงชาติ
ตามองตรงดูพี่ธงเพลินอากาศ
พี่ธงชาติน้อยใจใครไม่ยอมลง
ปล่อยให้เราเฝ้ารอเอียงคอหา
พี่ธงจ๋าเป็นอะไรแจ้งประสงค์
เด็กๆ น้อย แหงนหน้ามองด้วยความงง
ไยพี่ธงติดยอดเสา เราจะทำอย่างไร
ต่างก็คิด ต่างก็เล่า เคล้าเหตุผล
แต่ละคนร่วมคิด หายสงสัย
พี่ธงจ๋า พี่ธงคงน้อยใจ
ที่ใครๆ ไม่ช่วยนำลงตรงเวลา
ปล่อยทิ้งขว้างให้อยู่สูงยามมืดค่ำ
เต้นระบำกับสายลมเพลินนักหนา
เพลินตวัดกวัดแกว่งแรงลมพา
จนผูกติดกลางนภากับเสาเลย
พอสายๆ หลายๆ คนมารุมล้อม
ทุกคนพร้อมเครื่องมือ ไม่นิ่งเฉย
ฉุด กระชาก ลากดึง ไม่นิ่งเลย
ธงก็เฉย ไม่ไหวติง ทิ้งตัวมา
ต่างคิดหาวิธีหาทางออก
ร่วมกันบอกเพื่อแก้ไขในปัญหา
ตลอดเช้าเข้าบ่ายตามเวลา
ธงก็ยังลอยบนฟ้าท้าทายเรา
หานั่งร้านมาตั้งแล้วปีนป่าย
เหลือแต่กายโอบกอดถึงยอดเสา
สองมือแกะแงะดึงเพียงเบาๆ
ธงของเราก็หลุดลง เฮ้อ...โล่งใจ

หอยทากกินเด็กไหม?


"หอยทาก หอยทาก กินเด็กไหม"
เสียงใสๆ ของน้องก้องส่งเสียงพูดคุยกับหอยทากที่เขาพบตรงทางเดินข้างๆ ห้องเรียน
"ทำไมถามหอยทากอย่างนั้นล่ะก้อง" เพื่อนๆ ที่เดินไปดูหอยทากร่วมกันถามขึ้น
"ก็ ปู่เราบอกว่า หอยทากกินเด็กไง"
--------
ไม่รู้ว่าน้องก้องได้คำตอบจากหอยทากไหมในวันนั้น แต่สิ่งที่ครูได้คิดใคร่ครวญคือ "ผู้ใหญ่ไม่ควรหลอกเด็กให้กลัว เพราะสิ่งนั้นฝังลึกในจินตนาการของเขาเหลือเกิน"

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ผู้หญิงที่ดีที่สุด



สองมือน้อยๆ ค่อยๆ กราบ
บอกผู้หญิงที่ดีที่สุดให้ทราบว่ารักแค่ไหน
อ้อมกอดที่อบอุ่นด้วยหัวใจ
มอบให้แม่ทุกวันไปตลอดกาล

วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ผักบุ้งของหนูๆ ...

เรื่องราวต่างๆ นาๆ ที่ผมได้สัมผัสจากตัวเอง..
ผมเห็นความจริงใจที่ได้ฟังคำพูดจากความรู้สึกของเด็กๆ
ความเหมือนที่แตกต่าง ในมุมมองแต่ละมุม ย่อมไม่เหมือนกัน
ผมเชื่อว่า "ทุกสิ่งย่อมมีคุณค่าในตัว" ...

เรื่องราวของ "ผักบุ้ง" ..

เรื่องราวบางส่วนจากบันทึกความสุข
พี่นุ ชั้น ป.6 เขียนมาส่งให้ผมตรวจในช่วงเปิดเรียน Quarter 2 ผมสงสัยว่าทำไมพี่นุถึงเขียนบทกลอนเรื่องผักบุ้งนี้ขึ้นมา เขาบอกกับผมว่า.."ผมไปอ่านกลอนบทหนึ่งมา ทำนองคล้องจองดี ผมเลยแต่งขึ้นมาใหม่ให้เกี่ยวกับผักบุ้งที่ผมปลูกไว้กินที่บ้านครับ" พี่นุอธิบายให้ผมฟัง...

เด็กน้อยผู้ที่จะนำผักบุ้งเพียงใบเดียวไปฝากคุณแม่
พี่เช็ค ป.1 ดำนาอยู่ท้องทุ่งแปลงนาของโรงเรียนด้วยกันกับผม ในขณะนั้นเอง เขาก็เอื้อมมือไปเด็ดยอดผักบุ้งที่เลื้อยลงมาในนา ผมจึงถามว่าจะเก็บผักบุ้งไปให้ใครครับ พี่เช็คบอกผมว่า "ผมจะเก็บเอาผักบุ้งไปให้แม่ทำกับข้าวครับ" คุณค่าที่สะท้อนจากความใสๆ ของเด็กน้อย...

ผักบุ้งของเด็กชายมือขวา
พี่เหน่ง ป.3 ผมดำนาอยู่ใกล้ๆ กับพี่เหน่ง ผมสังเกตทุกอริยบทที่เขาทำกิจกรรม เขาเดินเก็บเด็ดยอดของผักบุ้งด้วยมือเพียง 1 ข้าง แล้วนำแต่ละยอดมารวมไว้ที่หน้าเสื้อที่ใช้ปากกัดขอบชายเสื้อเอาไว้.. ครั้งหนึ่งผมสังเกตุเชือกรองเท้าเขาหลุดผมก็เลยบอกให้เขาผูกเชือก เขาบอกผมว่าผมไม่สามารถผูกได้ครับคุณครู ผมจึงช่วยเขาผูกเชือกรองเท้า!! ...

-------------*****------------------
กลับบ้านเย็นนี้ผักบุ้งสดๆ จากความตั้งใจของเด็กๆ คงได้เป็นอาหารมื้อค่ำที่แสนอร่อยลิ้น คลุกเคล้าเรื่องราวการดำนาที่ได้ทำ จากเสียงใสๆ ที่จะบอกเล่าให้ทุกคนที่บ้านฟัง...

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

...แม่...

แม่...ผู้หญิงคนหนึ่งที่รักและปรารถนาดีกับเรามากที่สุดในโลก



แม่จ๋า...อยากบอกว่า "รักแม่ที่สุดในโลก"

เพลินเพลงบรรเลงขิมเพราะๆ



เพลินเพลงบรรเลงเพลงขิม
ฟังแล้วแอบบยิ้มชื่นใจหนา
มือน้อยๆ ค่อยตวัดพิจารณา
ทั้งซ้ายและขวาร่วมช่วยกัน
เสียงเพลงเพลินขิมจากเด็กน้อย
เฝ้าคอยเพียรหัดตามความฝัน
ฝึกเพลงบรรเลงด้วยใจมั่น
สักวันฝันนั้นสำเร็จเอย

------
เห็นความพยามยามของเด็กๆ ในการเล่นดนตรีไทยอย่างขิมแล้ว ก็อดชื่นชมในความพยายามนั้นเสียมิได้
"แม้มันจะยาก แต่หนูเชื่อว่าหนูจะทำได้ค่ะคุณครู"
เห็นความมุ่งมั่นเต็มที่อย่างนี้ คุณครูเชื่อเหลือเกินว่าหนูจะทำได้ คุณครูเป็นกำลังใจให้นะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เสียงฝนพรำ...


กลางดึกสะงัดของค่ำคืน ฉันได้ยินเสียงฝนพรำ..
นก กา และสัตว์ต่างๆ นานา พากันออกมาร่ายรำกันอย่างเฮฮา
ฉันได้ยินเสียงฝนตกกระทบหลังคาอย่างมีความสุขในเวลานนั้น
ฉันได้ยินเสียงอึงอ่าง กบ เขียด หรือกระทั่งจิ่งหรีดเรไรร้องระงม
ฉันได้ฟังเสียงของสายลมที่พัดมากระทบต้นไม้ พร้อมกับเสียงฟ้าร้อง...

ฉันเดินออกไปนอกห้องก้าวแรก..
ฉันได้สัมผัสกับสายลมที่เย็นฉ่ำ มาพร้อมกับละอองฝนเม็ดเล็กๆ มากระทบใบหน้า
ฉันไม่กลัวที่ตัวเองจะเป็นหวัด ฉันมีความสุขในตอนนั้น...

ฉันย้อนกลับย้อนมองอดีต เมื่อคราวฉันเป็นเด็ก ฉันมีความสุขที่โดนฝนตกกระทบ
คุณแม่ของฉันมักเข้ามาห้าม เมื่อฉันเล่นกับสายฝน เพราะกลัวฉันจะเป็นหวัด
ตอนนี้ฉันเล่นสายฝนได้อย่างระลื่น พร้อมคิดถึงคุณแม่ที่เคยพร่ำเตือนฉันเมื่อครั้งยังเยาว์...
.

ไม่สงสารต้นหญ้าเหรอคะ


เย็นวันหนึ่ง
น้องอั้ม นักเรียนชั้นอนุบาล 1 ได้มานั่งรอพี่ๆ เพื่อนๆ ที่มารถตู้คันเดียวกันเพื่อกลับบ้าน บริเวณสวนใกล้ๆ กับลานจอด
ระหว่างที่รอนั้น น้องอั้มบังเอิญมองไปเห็นน้าหนิงซึ่งเป็นคนขับรถตู้ กำลังเดินลัดสนามหญ้าในสวนเข้ามาหาเธอ
น้องอั้ม : น้าหนิงขา ไม่สงสารต้นหญ้าเหรอคะ
น้าหนิง : ทำไมล่ะคะน้องอั้ม
น้องอั้ม : ก็ต้นหญ้าเขาอยู่ของเขาดีๆ น้าหนิงก็ไปเหยียบเขา ทั้งที่ทางเดินก็มี ทำไมน้าหนิงไม่เดินล่ะคะ
น้าหนิง : (อึ้งสักครู่) งั้นสองก้าวที่ผ่านมาน้าหนิงขอโทษนะคะ น้าหนิงขอเดินถอยหลังเพื่อกลับไปเดินตามทางเดินนะคะ
น้องอั้ม : ค่ะ (ด้วยใบหน้าราบเรียบนิ่งเฉย)
...........
แต่น้าหนิงของเราสิคะ เธอไม่ได้นิ่งเฉยเฉย เพราะวันต่อมาน้าหนิงรีบเดินเข้ามาบอกกับครูของน้องอั้มว่า "เมื่อวานอายเด็กมากค่ะคุณครู" แล้วเธอก็เล่าเรื่องราวให้ฟัง พร้อมรอยยิ้มอย่างเอ็นดูเด็ก

*** เด็กๆ ก็เหมือนผ้าขาวค่ะ ข้อมูลดีๆ ด้านบวกที่เขาได้รับจะค่อยๆ ซึมซับเพื่อนำมาใช้จริงและพร้อมจะถ่ายทอดเมื่อมีโอกาสดีๆ เสมอ
เราในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ อย่าพึ่งเหนื่อยหน่ายที่จะช่วยกันเติมสิ่งที่ดีๆ ให้กับความเจริญงอกงามของอนาคตนะคะ ***

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ใบไม้ต้นเดียวกัน


เราคือใบไม้ต้นเดียวกัน เราคือใบไม้ต้นเดียวกัน
เวลามีมาให้เราได้ใช้ร่วมกัน
เราคือใบไม้ต้นเดียวกัน

เราคือลูกคลื่นทะเลเดียวกัน เราคือลูกคลื่นทะเลเดียวกัน
เวลามีมาให้เราได้ใช้ร่วมกัน
เราคือลูกคลื่นทะเลเดียวกัน

เราคือดวงดาวฟ้าเดียวกัน เราคือดวงดาวฟ้าเดียวกัน
เวลามีมาให้เราได้ใช้ร่วมกัน
เราคือดวงดาวฟ้าเดียวกัน


The leaf of one tree

We are the leaf of one tree. We are the leaf of one tree.
The time has come for all to live as one.
We are the leaf of one tree.

We are the wave of one sea. We are the wave of one sea.
The time has come for all to live as one.
We are the wave of one sea.

We are the star of one sky. We are the star of one sky.
The time has come for all to live as one.
We are the star of one sky.

มีโอกาสในรู้จักบทเพลงเพราะๆ ที่มีความหมายดีๆ นี้ จากการอบรมในคราหนึ่ง โดยคณะภิกษุ และภิกษุณี จากหมู่บ้านพลัมของประเทศไทย (บทเพลงแห่งหมู่บ้านพลัมนี้ เป็นบทเพลงภาวนาเพื่อฝึกให้มีสติ เรียกลมหายใจให้กลับมาอยู่กับตัวเอง)



แรกๆ ที่ได้ยิน ได้สัมผัสเสียงบทเพลงที่ก้องกังวานของเหล่าภิกษุ และภิกษุณี ถึงกับขนลุกซู่ด้วยความศรัทธาอย่างจับใจทันที

.....เราคือใบไม้ต้นเดียวกัน

.....เราคือลูกคลื่นทะเลเดียวกัน

.....เราคือดวงดาวฟ้าเดียวกัน...


ไม่รู้หรอกว่าในการอบรมครานั้น แต่ละคนคิดอะไร ได้อะไรจากบทเพลงนี้

แต่สำหรับฉันแล้ว...เพลงบทนี้ ทำให้ฉันได้คิดใคร่ครวญ ไตร่ตรองจนเกิดความซาบซึ้งว่า...ทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้มีส่วนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน

...ไม่มีใครสำคัญกว่าใคร เพราะเราต่างมีความสำคัญที่ต่างกัน แต่ถึงที่สุดแล้ว "เราก็คือหนึ่งเดียวกัน"...


ด้วยบทเพลงนี้ทำให้ฉันเข้าใจแล้วว่า.....

สรรพสิ่งต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งซึ่งกันและกัน
เราสามารถคิดถึงเรื่องเล็กน้อย แล้วใจเรามีความอิ่มเอมได้
เราสามารถคิดถึงคนอื่นด้วยใจปรารถนาดี แล้วใจเรามีความสุขได้
เราสามารถไหว้ เพื่อเคารพซึ่งกันและกันได้อย่างจริงใจ
เราสามารถชื่นชมใคร ๆ ได้ด้วยหัวใจของเรา
เราสามารถขอบคุณใครๆ ได้อย่างมั่นใจ ไม่เขินอาย
เรารู้จักกล่าวขอโทษทุกสรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา แม้เพียงเรื่องเล็กน้อย
และเราสามารถมอบความรัก ความห่วงใย ความเอาใจใส่ต่อสรรพสิ่งรอบตัวเช่นเดียวกับเรารักตนเอง ดูแลตนเอง เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่ง และสรรพสิ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของเรา

...เวลามีมาให้เราได้ใช้ร่วมกัน
เวลาที่มีค่า อย่าปล่อยให้ผ่านเลยไป โดยที่เราไม่ได้สนใจสรรพสิ่งรอบข้าง เพราะเราต่างก็มีความหมาย ความสำคัญ ต่อกันและกัน
ใช้เวลาที่เหลืออยู่ดูแลเราและเขา

.......................******************........................

คิดได้อย่างนี้ทำให้รู้สึกอิ่มใจจัง


ขอบคุณบทเพลงดีๆ ที่ทำให้ดวงตา ดวงใจ มองกว้างไกลกว่าเดิม
และขอบคุณวัน เวลา ที่ทำให้เราได้ใช้ร่วมกัน


สวัสดียามเช้า

สวัสดีดวงตะวัน
ขอบคุณที่เราได้พบเจอกันวันนี้
อยากไถ่ถาม...เป็นอย่างไรบ้าง สบายดี..
ส่งความห่วงใยที่มีมาทักทาย

แม้เป็นเพียงคำถามเก่าๆ
ปรารถนาให้ความหมองเศร้าห่างหาย
เช้าแล้ว...ยิ้มรับวันใหม่...ด้วยใจสบาย
ผ่อนคลาย...รับสุข...ทุกอรุณ