วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บ้านกลางไพร...


ยามเย็นแดดร่มลมโชย สายลมโบกโบย เฉียดฉิวเสียดกาย
ร่ำสุราล้อมวงญาติสาย แค่พอกระศัยหายเหนื่อยหายเพลีย..
หมู่เพื่อนผองบ้านเรือนเคียงกัน ร่วมกลุ่มประสานเสียงเพลงเสียงเชียร์
เด็กร่ายรำผัวหยอกล้อเมีย อยู่อย่างสุขถึงจนไม่เคยสนใจ...
.

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หนูชอบ...กลางคืน


ใครหลายๆ คน อาจไม่ชอบเวลาที่พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไป

เวลาที่พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ละทิ้งแสงสว่างเลือนหายไป เหลือแต่ความมืดมิด เราเรียกว่า "เวลากลางคืน"

เวลากลางคืน ทุกสิ่งอย่างเลือนลาง มืดมิด และเงียบสงัด
อะไรๆ ก็มองเห็นเป็นสีเทาหรือดำ

แต่สำหรับหนู เด็กหญิงจันทร์ผ่อง หนูชอบเวลากลางคืนค่ะ
เพราะ
...กลางคืน...หนูได้เจอดวงดาวระยิบระยับทั่วทั้งท้องฟ้าอย่างสวยงาม หนูพยายามนับดวงดาว แต่ก็นับไม่รู้หมดสักที
...กลางคืน...หนูได้เจอกับดวงจันทร์ที่ส่งยิ้มละมุน พร้อมกับทอแสงสีเหลืองนวลตา ทำให้หนูได้วิ่งเล่นใต้เงาของแสงจันทร์
...กลางคืน...หนูได้เจอกับหิ่งห้อยตัวเล็กๆ ที่พยายามส่องแสงระยิบระยับเช่นกับดวงคาวบนดวงฟ้า ถึงแม้แสงไม่มากนัก แต่หนูว่าสวยมากนะ หิ่งห้อยคงภาคภูมิใจที่สามารถส่องแสงได้ด้วยตนเอง
...กลางคืน...หนูได้ยินบทเพลงจากธรรมชาติ ทั้งจิ้งหรีด จั๊กจั่น หรือแมลงอื่นๆ ที่ร้องเพลงประสายเสียงได้อย่างลงตัว น่าฟังยิ่งนัก
...กลางคืน...หนูได้เจอกับนกฮูกตากลมโต ค้างคาวตัวเล็ก ผีเสื้อกลางคืนลายสวย ที่กำลังออกหาอาหารกินเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตให้คงอยู่
...กลางคืน...หนูได้นอนหลับพักผ่อนในอ้อมกอดที่อบอุ่นของพ่อและแม่ เพื่อให้ร่างกายของหนูได้พักผ่อน ร่างกายจะได้แข็งแรง และเตรียมพร้อมที่จะไปโรงเรียนในวันพรุ่งนี้

ฮ้าว...หนูชักง่วงนอนแล้วหล่ะ หนูขอตัวไปนอนก่อนนะ
อ้อ...อย่าลืมแปรงฝันก่อนนอนด้วยนะคะ
...หลับฝันดีค่ะ...

วันที่โรงเรียนฝนตก


หลังจากที่อากาศขมุกขมัว ชวนหลับมาตั้งแต่เช้า ราวๆ บ่ายโมงครึ่ง สายฝนก็ได้กระหน่ำเทลงมาคล้ายๆ ดังว่าได้เก็บกลั้นเอาไว้มานานแล้ว เด็กๆ อนุบาลนอนหลับอย่างมีความสุข คงด้วยไอเย็นๆ จากสายฝนกระมัง
ฝนตกประมาณชั่วโมงกว่าๆ จึงค่อยๆ อ่อนแรงลงและหยุดตก เด็กๆ ทยอยตื่นขึ้น และต่างก็ตื่นเต้นเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
"โรงเรียนน้ำท่วม"
"ดูสิ น้ำเยอะจัง"
แต่ก็มีเสียงเหมือนผิดหวังนิดๆ ดังแว่วมา
"แย่จัง อย่างนี้เราก็ไม่ได้ออกไปวิ่งเล่นน่ะสิ"
"ใช่ๆ" เพื่อนบางคนเห็นด้วย
แต่บทสนทนาของเด็กกลุ่มที่รู้สึกผิดหวังก็ต้องหยุดลง เพราะมีเสียงอีกเสียงจากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่า
"ฝนตกดีออก พี่ต้นไม้จะได้กินน้ำ นานๆ ฝนถึงจะตกซะที" เจ้าของเสียงหยุดพูดนิดหน่อยแล้วค่อยพูดต่อ
"เราน่ะได้วิ่งเล่นทุกวัน แต่วันนี้ให้พี่ต้นไม้ได้กินน้ำบ้าง แล้ววันหลังเราค่อยออกไปเล่น"
แล้วเสียงเด็กๆ ทั้งห้องก็แสดงความคิดเห็นอย่างเห็นด้วย
"ใช่ๆ"
"ดีๆ งั้นวันนี้เราเล่นในห้องกันนะ"
และแล้วเหล่านักเรียนตัวเล็กๆ ก็หันหน้ามาทางคุณครู
"คุณครูขา / คุณครูครับ วันนี้พวกเราเล่นในห้องนะคะ /นะครับ"
"ได้สิคะ" คุณครูอมยิ้มนิดๆ
"แล้วเด็กๆ อยากทำอะไรล่ะคะ"
"พวกเราอยากวาดรูปค่ะ / ครับ"
คุณครูจึงรีบหากระดาษให้เด็กๆ วาดรูป

เด็กๆ ต่างวาดรูปอย่างมีความสุข
คุณครูก็มีความสุข..สุขที่ลูกศิษย์ตัวเล็กๆ วัยอนุบาล รู้จักคิดห่วงใยสิ่งที่อยู่รอบตัวเขา..

....หากคนทั่วไป รู้จักห่วงใยสรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวมากอีกสักนิด โลกของเราคงน่าอยู่มากขึ้น...

วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อัศวินขี่ม้าขาว...

ตอนผมเป็นเด็กผมชอบนอนกับคุณยายมาก..
ทุกคืนก่อนนอนคุณยายจะเล่านิทานให้ผมฟัง
และมีตัวละครที่ผมชอบมากสมัยเด็ก คือ “อัศวันขี่ม้าขาว”
คนบางคนใช้ชีวิตทั้งชีวิตรอคอยอัศวินขี่ม้าขาว
คลายเด็กที่เฝ้ารอของขวัญวันเกิดด้วยใจจดจ่อ...
            แต่การที่เรารอคอยแต่อัศวินขี่ม้าขาวมาช่วย ผมคิดว่าเป็นการรอคอยที่ไร้เหตุผมมากครับ  จริงๆแล้วไม่มีใครในโลกที่สามารถเป็นตัวแทนของบุคคลที่สมบูรณ์ในความฝันของ ใครได้..
ผมเชื่อว่า..ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้วไม่มีแม่ พ่อ ลูก ญาติ  เพื่อนๆหรือคนรักที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง..
 
เพราะฉะนั้น...
เราอย่าได้เฝ้ารออัศวินขี่ม้าขาวเลย แต่จงสร้างมันขึ้นจากตัวของเราเองนะครับ ผมคิดว่าตัวผมเองนี่แหละ คือ...อัศวินขี่ม้าขาว..

ลมพัดไหว ใจหวนนึก...๑

จิโป่ม (จิ้งโกร่ง)

ผมชื่อจ้อยครับ ผมเป็นเด็กชายจากท้องทุ่งนาโดยกำเนิดครับ พ่อแม่ของผมมีอาชีพทำนา ส่วนผมมีหน้าที่เลี้ยงเจ้าทุยครับ

ผมภาคภูมิใจนะครับที่เกิดมาเป็นลูกชาวนา เพราะเป็นอาชีพที่สุจริตครับ

และกิจกรรมในท้องทุ่งนาก็มีมากมายที่แสนสนุก ทำให้ได้เรียนรู้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่ว่าจะเป็นยิงนก ตกปลา หาแย้ แหย่ไข่มดแดง หรืออื่นๆ

โอ๊ะ โอ อย่าหาว่าผมใจร้ายเลยนะครับ เพราะนั่นคือวิถีชีวิตแบบชาวนาครับ ที่หาอาหารการกินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องจากธรรมชาตินี่แหละครับ

เสียงร้องระงมดังก้องหู

ตัวมันอยู่ในรูใต้ดินหนา

หยิบเสียมสะพายข้องเพ่งตา

มองหาที่มาของเสียง


บอกได้ไหมว่าสิ่งที่ผมตามหาคืออะไร ?

คำตอบคงจะยากสำหรับชาวเมืองกรุง แต่สำหรับชาวอีสานอย่างเราแล้ว ขอบอกว่าง่าย เพราะมันคือแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยม อาหารอันเลิศรส จะคั่ว ทอด แกง ก็ล้วนถูกปากอร่อยลิ้นยิ่งนัก

แม่นแล้ว สิ่งที่เรากำลังตามหาคือ จิโป่ม นั่นเอง

จิโป่ม มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Brachytrupes portentosus Licht มีชื่อเรียกแตกต่างกันในแต่ละท้องที่ เช่น ภาคกลางเรียก จิ้งโกร่ง จิโปม จิ้งหรีดโก่ง จึ้งหรีดหัวโต ภาคอีสานเรียก จิโป่ม กิหล่อ ภาคเหนือเรียก จิกุ่ง

จิโป่ม เป็นแมลงในอันดับเดียวกันกับตั๊กแตน หรือ จิ้งหรีด (Order Orthoptera) อยู่ในวงศ์เดียวกับจิ้งหรีด (Family Gyllidae) มีรูปร่างอ้วน มีหนวดยาวแบบเส้นด้าย (filiform) หัวมีลักษณะกลมและใหญ่ ปากเป็นแบบกัดกิน (chewing type) ลำตัวมีสีน้ำตาล อมเหลือง กินหญ้าเป็นอาหาร ขาคู่ข้างหลังจะใหญ่กว่าแข็งแรงไว้ใช้ดีดตัวและขุดรูตะกุยดินขึ้น อวัยวะวางไข่ของจิโป่มตัวเมียสั้นกว่าจิ้งหรีดชนิดอื่น ตัวผู้สามารถทำเสียงได้โดยใช้ขอบของปีกคู่หน้าสีกันไปมา อวัยวะทำเสียงดังกล่าวมีลักษณะคล้ายตะไบเรียกว่า file อยู่ที่ขอบด้านในของปีกคู่หน้า และมักใช้ file ถูเข้ากับเส้นขอบแข็ง (scraper) ของปีกด้านซ้าย ทำให้เกิดเสียง ส่วนขาคู่หน้าบริเวณ tibia จะมีอวัยวะคอยรับฟังเสียงพบได้ทั้งตัวผู้และตัวเมีย ตัวเต็มวัยมีขนาด 3.7 - 4.4 เซนติเมตร

จิโป่ม เป็นสัตว์ที่ออกหากินตอนกลางคืน ทำรังโดยการขุดรูลงไปอยู่ในดิน


ทำไมต้องกินจิโป่มน่ะหรือ

เพราะว่า.....จิโป่ม เป็นแมลงที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อร่อย

แลัวทำไมมันต้องส่งเสียงร้องแหลมน่ารำคาญล่ะ

ก็เพราะว่า........มันร้องเรียกหาคู่น่ะสิครับ

แล้วค่อยพบกันใหม่ เดี๋ยวสิพา (จะพา) ไปขุดจิโป่มนะครับ


หอมเจ้าลั่นทม


หอมเอย หอมกลิ่นกรุ่น
หอมละมุน กรุ่นความฝัน
หอมลั่นทม หลงรสเสน่ห์พลัน
หอมความฝัน ต้องก้าวเดินไขว่ขว้ามา

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

...ดอกหญ้า...




อย่ามองอย่างไรค่า
ดอกหญ้าคือสีสัน
เป็นหนึ่ง ดอกไม้เหมือนกัน
อาจไม่สำคัญแต่งดงาม

งามจริง ยามเจ้าพริ้วไหว
เต้นรำ ร่ายไปตามฝัน
ยืนหยัดท้าแสงแห่งตะวัน
มุ่งมั่น อดทน อย่างงดงาม

ปรารถนาเพียงช่วยแต่งแต้ม
ให้โลกงามแจ่มแลอร่าม
เล็กเล็ก สรรค์สร้างอย่างงดงาม
เพลินเพลินทุกยามที่พิศชม

กระจุ๋มกระจิ๋ม กะจิดริด
ยิ่งพิศ ยิ่งเพลิน แสนสุขสม
ดอกหญ้า แกร่งกล้า ท้าลม
งามสม ความแกร่ง แห่งศรัทธา