วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

...ดอกหญ้า...




อย่ามองอย่างไรค่า
ดอกหญ้าคือสีสัน
เป็นหนึ่ง ดอกไม้เหมือนกัน
อาจไม่สำคัญแต่งดงาม

งามจริง ยามเจ้าพริ้วไหว
เต้นรำ ร่ายไปตามฝัน
ยืนหยัดท้าแสงแห่งตะวัน
มุ่งมั่น อดทน อย่างงดงาม

ปรารถนาเพียงช่วยแต่งแต้ม
ให้โลกงามแจ่มแลอร่าม
เล็กเล็ก สรรค์สร้างอย่างงดงาม
เพลินเพลินทุกยามที่พิศชม

กระจุ๋มกระจิ๋ม กะจิดริด
ยิ่งพิศ ยิ่งเพลิน แสนสุขสม
ดอกหญ้า แกร่งกล้า ท้าลม
งามสม ความแกร่ง แห่งศรัทธา

ต้นข้าวแท้งลูก


เช้าวันที่สายฝนโปรยปราย คุณครูเปิดประเด็นกระตุ้นให้เด็กนักเรียนได้คิดด้วยคำถาม “ฝนตกอย่างนี้ เด็กๆ รู้สึกอย่างไรบ้างคะ”
บรรดานักเรียนตัวน้อย ก็ทยอยตอบคำถามที่ละคนๆ
"เย็นดีครับ ผมชอบ"
"หนูไม่ชอบค่ะ เพราะทำให้เราเปียกค่ะ"
เมื่อคำตอบสุดท้ายของคำถามแรกผ่านไป ครูก็ตั้งคำถามต่อว่า “เมื่อเห็นฝน นักเรียนคิดถึงอะไรบ้างคะ เพราะอะไร”
เด็กๆ ใช้เวลาครุ่นคิดนิดหน่อย แล้วต่างก็ตอบคำถามพร้อมแสดงความคิดเห็นกันและกันอย่างเต็มที่
บ้างก็บอกว่า “คิดถึงปลา เพราะฝนตกคงทำให้ปลาดีใจครับ ที่จะได้ว่ายน้ำอย่างสนุกสนาน”
“คิดถึงต้นไม้ค่ะ ฝนตกลงมาต้นไม้คงดีใจ เพราะจะได้ดูดเอาน้ำไปเป็นอาหารหล่อเลี้ยงตนเองให้สดชื่น ไม่เหี่ยวเฉา”
บางคนก็ตอบว่า “คิดถึงแม่ค่ะ เพราะฝนตก อากาศจะเย็นและหนาวใช่ไหมคะ เวลานอนแม่ก็จะกอดหนูค่ะ”
คำบอกเล่าจากเด็กตัวน้อย ทำให้คนเป็นครูอมยิ้มที่ได้เห็นพัฒนาการทางความคิดของลูกศิษย์
แต่คำตอบที่ทำให้ครูและเพื่อนทั้งชั้นยิ้ม พร้อมด้วยความสงสัย ดังมาจากเด็กชายคนหนึ่ง
“ผมนึกถึงต้นข้าวแท้งลูกครับ”
“ต้นข้าวแท้งลูก! อย่างไรคะ” คุณครูเอ่ยถาม
“พ่อผมบอกว่า ตอนนี้เป็นช่วงที่ต้นข้าวกำลังตั้งท้องครับ ผมก็เลยคิดว่า ฝนตกมาน้ำคงเยอะและถ้าน้ำเยอะจนท่วมนา ต้นข้าวในนาต้องแท้งลูกแน่นอนครับ”
“ต้นข้าวไม่ใช่คนจะแท้งลูกได้อย่างไรล่ะ” เสียงผองเพื่อนคนอื่นค้านขึ้นมา
เจ้าตัวก็เลยรีบตอบ “ทีคนที่กำลังท้อง เมื่อลูกไม่สามารถอยู่ในท้องต่อไปได้ ยังเรียกว่าแท้งลูกได้เลย ต้นข้าวเมื่อโดนน้ำท่วมก็ไม่มีลูกในท้องต่อไปได้อีก หรือไม่สามารถออกรวงต่อไปได้ก็ต้องเรียกว่าแท้งลูกเหมือนกัน เพราะไม่สามารถมีลูกต่อไปได้ยังไงล่ะ”
...........................................................

แม้จะผ่านการสนทนามาแล้ว แต่ครูก็ยังเฝ้าครุ่นคิดกับ “ต้นข้าวแท้งลูก” ตลอดเวลา

........คราวนี้มีต้นข้าวแท้งลูก ต่อไปจะมีต้นข้าวตายทั้งกลมหรือเปล่าหนอ.......

เด็กหนอเด็ก ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาช่างงดงามนัก
ทำอย่างไรนะ ที่จะให้ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา คงอยู่อย่างนี้ยาวนาน..............

ชีวิต

มีโอกาสได้อ่าน จึงอยากเก็บความประทับใจให้กระจายต่อไป (แต่จำไม่ได้ว่ามาจากไหน ขอ copy หน่อยนะ)

ชีวิต.......

ต้องพบ ต้องเจอความเจ็บปวด ทุกข์ท้อ กันทุกคน

อยู่ทีเรา...จะรับมือกับความเจ็บปวดนั้นอย่างไร

และ...พลิกความเจ็บช้ำนั้นให้กลับกลายมาเป็นโอกาส

เพื่อ จดจำไว้เป็นบทเรียนสูงค่า


........คงจะไม่ปฏิเสธ หากพบว่า

คนเราต้องเคยยินดีปรีดา กับความสุขสมหวัง...กันมาบ้าง

สุดแต่ว่า ใครจะใช้ประโยชน์กับช่วงเวลาเหล่านั้นให้คุ้มค่าได้มากแค่ไหน


ไม่มีใครที่ไม่เคยผิดพลาด

พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส

ยิ้มรับเอาความผิดพลาด เป็นครู....

ใช้เวลาที่หมดไป ให้คุ้มค่า..กับคนที่รักเราเสมอมา

คนที่ไม่เคยทอดทิ้งเรา

....... "พ่อ แม่"......


อย่าไปโหยหาความรักฉาบฉวย ที่พิสูจน์ได้ยาก ให้มากเกิน

"คนรัก"

ที่แม้แต่กาลเวลา ก้อไม่อาจหล่อหลอม พิสูจน์ได้แน่นอน


เมื่อ...มองหา สายตาที่ห่วงใย เมื่อใด

เมื่อนั้นจะพบ....ว่า

มีเพียงสายตาคู่เดิม

ที่มองมาที่เราตลอดเวลา...ไม่เคยเปลี่ยนแปลง


เมื่อยังเด็ก

เราหงุดหงิด รำคาญใจกับสายตา ที่คอยใส่ใจ ห่วงใย ..."อะไรนักหนา"


เมื่อโตขึ้นมาอีกหน่อย

เรานึกบ่นในใจว่า ทำไมถึงเห็นเราเป็นเด็กเล็กๆ ตลอดเวลา


เมื่อเราโตเป็นหนุ่มสาว

เรามองกลับไปที่สายตาสองคู่นั้น

...ท่านทั้งสองยังคงมองมาด้วยสายตาเช่นเดิม


เมื่อเรามีครอบครัว

เราได้พบความจริงว่า....

ไม่มีสายตาคู่ไหน ที่ยังห่วงใยเราตลอดชีวิต

เท่าสายตา "คู่นั้น" ที่เราเคยหงุดหงิด รำคาญใจมาตลอดเช่นกัน


ยามดึกสงัด














"ดึกสงัด ยินเสียงสายลมพัดทักทายกับน
้ำค้าง
ราตรีนี้มีความเหงาและอ้างว้าง เป็นเพื่อนร่วมทางทักทายกัน
ในความเงียบสงัดยังมีเสียงห
นึ่ง ที่ดังและตราตรึงในใจฉัน
เสียงนั้นยิ่งฟังยิ่งสำคัญ เสียงภายในตัวฉันที่เปล่งพลังจุดประกาย"

ทักทาย

เข้ามาได้ทักทายกันและกัน
เพื่อเริ่มต้นสร้างสรรค์จินตนาการให้เปล่งประกาย